5 วิธีที่ช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายผ่านเว็บไซต์ของคุณ

ในสมัยก่อนที่เทคโนโลยีและสื่อ digital จะเข้ามามีบทบาทในด้านการตลาด เราจะเห็นนักการตลาดโปรโมทสินค้าและบริการผ่านทางช่องทางต่างๆเช่น ใบปลิว แผ่นผับ โบรชัวร์ และออกบูธงานแสดงสินค้าต่างๆ รวมไปถึงลงสปอตโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น

แต่ในโลกปัจจุบัน ถึงแม้ว่าการตลาดแบบเดิมจะยังมีให้เราเห็นอยู่บ้าง แต่ถ้าหากคุณต้องการจะอยู่รอดจากการแข่งขันอันดุเดือดในสนามธุรกิจ คุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้โลกของ digital marketing โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยซึ่งติดอับหนึ่งของโลกในเรื่องของการใช้งานอินเตอร์เน็ต

สิ่งสำคัญที่เจ้าของแบรนด์และธุรกิจจำเป็นต้องรู้เป็นอันดับแรกๆคือ หากคุณต้องการขยายแบรนด์หรือธุรกิจของคุณให้เติบโต คุณจำเป็นจะต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง จากสถิติที่เราค้นคว้ามาพบว่าในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (พ.ศ.2561) มีเว็บไซต์บนโลกอินเตอร์เน็ตทั้งหมดโดยประมาณถึง 1.94 พันล้านเว็บไซต์ และเว็บไซต์ e-commerce ก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน โดยคาดกันว่าในปีนี้ธุรกิจ e-commerce จะมียอดขายถึง 3.45 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐเลยทีเดียว

และหากคุณเป็นผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ คุณเองก็อยากมีส่วนร่วมในการทำยอดขาย 3.45 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐใช่ไหมล่ะ? แล้วคุณรู้ไหมว่าอะไรคือคีย์สำคัญในการพาคุณไปสู่ความสำเร็จนี้? จริงๆแล้วคำตอบก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย นั่นก็คือเว็บไซต์และการบริหารจัดการเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง และในบทความนี้เรามี 5 วิธีที่ช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายด้วยการสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์ของคุณมานำเสนอให้คุณลองทำตามกันดู

1. สร้างแบรนด์และจัดการชื่อเสียงแบรนด์ของคุณ (reputation management)

คนทั่วไปอาจจะมองว่าเว็บไซต์เป็นแค่เพียงช่องทางการจำหน่ายรองของร้านค้า แต่จริงๆแล้วเว็บไซต์เองก็สามารถที่จะเป็นช่องทางการจำหน่ายหลักได้เหมือนกัน เราไม่อยากให้คุณมองว่าเว็บไซต์เป็นแค่เพียงที่จัดเก็บคอลเลคชั่นรูปภาพ หรือวิดิโอสวยๆ แต่เราอยากให้คุณมองว่าเว็บไซต์นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพราะมันเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าและบริการของคุณนั่นเอง

ดังนั้นอันดับแรกคุณต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นสามารถสื่อถึงแบรนด์ในรูปแบบของแบรนด์ที่คุณอยากให้มันเป็นได้ เมื่ออันดับแรกสำเร็จ อันดับต่อมาคุณก็จะสามารถโฟกัสไปที่การสร้างภาพลักษณ์และการจัดการกับชื่อเสียงของบริษัทคุณได้เต็มที่ (reputation management) และเมื่อแบรนด์ของคุณมีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดี ลูกค้าก็จะให้ความไว้วางใจและมั่นใจกับสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายในที่สุด

2. เว็บไซต์ของคุณจะต้องใช้งานได้ง่าย (user friendly) และรองรับการแสดงผลบนหน้าจอมือถือ (mobile-friendly)

สองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆที่นักออกแบบเว็บไซต์จะมองข้ามไปไม่ได้เลยเชียวล่ะ เพราะเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ง่ายนั้นจะช่วยให้ลูกค้าของคุณคลิกเพื่อดูหน้าแต่ละหน้าในเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกและง่ายต่อการเปลี่ยนไปยังหน้าหรือเมนูอื่นๆ ลองคิดสิว่าหากลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์เพื่อจะซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่ง แต่เมื่อเข้าเว็บไซต์ไปแล้ว กลับหาหน้าที่แสดงสินค้าทั้งหมดไม่เจอ เพราะเมนูแสดงหน้าสินค้าดันไปอยู่ล่างสุดเสียนี่ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ลูกค้าออกจากเว็บไซต์เพื่อไปหาซื้อสินค้าจากเว็บไซต์อื่น นั่นหมายถึงคุณสูญเสียรายได้จากลูกค้าคนนี้ไปแล้วอย่างน่าเสียดาย และทำไมเราถึงบอกคุณว่าเว็บไซต์ที่ดีจะต้องรองรับการแสดงผลบนหน้าจอมือถือ? นั่นก็เป็นเพราะว่าในทวีปเอเชียนั้นมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านมือถือเป็นจำนวนถึง 65% ของผู้ใช้งานทั้งหมดเลยทีเดียวไงล่ะ

ถ้าหากคุณจ้างนักออกแบบเว็บไซต์ที่ไม่มีประสบการณ์ คุณอาจจะจบลงด้วยการได้เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน และโอกาสที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะเกิดความหงุดหงิดและท้ายที่สุดคือปิดเว็บไซต์ของคุณลงเสียดื้อๆก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าโอกาสที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน

3. เลือกใช้รูปภาพและวิดิโอที่ดูน่าสนใจ

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณปังนั่นคือการมีบทความ (blog) และทำการอัพเดทมันเป็นประจำด้วยเนื้อหาที่สดใหม่ ทันสมัย และตามเทรนอยู่เสมอ คุณรู้หรือไม่ว่าการที่เว็บไซต์ของคุณมีบทความที่มีเนื้อหาที่ดี เป็นเอกลักษณ์ และไม่ได้ไปก็อปปี้เนื้อหาของชาวบ้านมา นั่นหมายถึงเว็บไซต์ของคุณมีโอกาสมากขึ้นที่จะถูกค้นเจอบน google เป็นอันดับต้นๆ (เพราะ google ก็ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าคุณไปก๊อปปี้เนื้อหาของคนอื่นมาหรือไม่ ซึ่งหากคุณก็อปปี้เนื้อหาของชาวบ้านมาล่ะก็ google ก็คงไม่ยอมให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นอันดับต้นๆเป็นแน่แท้)

ถ้าคุณทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อธุรกิจของคุณ คุณอาจจะอัพเดท blogของคุณเป็นประจำด้วยการโพสรูปภาพผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่วางจำหน่าย หรืออาจจะเป็นวิดิโอบริการต่างๆที่คุณมอบให้แก่ลูกค้า โดยที่คุณเองสามารถเขียนบทความ SEO เจ๋งๆ เพื่ออธิบายประกอบรูปภาพและวิดิโอเหล่านี้ จริงๆแล้ว Blog ที่มีคุณภาพนี่แหละ ที่จะเป็นตัวดึงดูดว่าที่ลูกค้าให้เข้ามาชมเว็ปไซต์ของคุณมากขึ้น และแถมยังช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าที่มีอยู่แล้วให้คุณอีกด้วย

4. อย่าลืมที่จะใส่รายละเอียดช่องทางการติดต่อ และปุ่ม Call To Actions

สุดท้ายเว็บไซต์ที่ประประสบความสำเร็จบางเว็บไซต์ คือเว็บไซต์ที่มีปุ่ม Call To Actions (CTAs) นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพวกปุ่ม “ลงทะเบียนตอนนี้เลย” “subscribe now” “คลิกเพื่อซื้อสินค้า” เป็นต้น เพราะอะไรเว็บไซต์พวกนี้ถึงเป็นเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จ? นั่นก็เป็นเพราะว่าการที่ว่าที่ลูกค้ามองเห็นช่องทางการติดต่อกับคุณได้ง่ายนั้น สามารถทำให้พวกเขาเกิดความความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณในที่สุด

เอาล่ะตอนนี้ถ้าหากว่าคุณกำลังดูแลเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งอยู่ล่ะก็ จงอย่าลืมใส่ใจสองสิ่งที่เรากำลังจะบอกคุณต่อไปนี้เป็นอันขาด อย่างแรกคือ ปุ่ม CTAs จะต้องเป็นปุ่มที่แจ้งให้ลูกค้าของคุณทำในสิ่งที่เขาควรจะต้องทำเป็นรายการต่อไป พูดง่ายๆก็คือถ้าลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์คุณแล้ว และกำลังมองหาสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่ล่ะก็ ไอ้เจ้าปุ่ม CTAs ก็จะต้องพาเขาให้ไปเจอสิ่งสิ่งนั้นนั่นเอง เช่น หากลูกค้าเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณและกำลังมองหาสินค้าคอลเลคชั่นล่าสุด คุณจะต้องมีปุ่มที่ CTAs ที่มองเห็นได้ง่ายและมีหน้าที่พาพวกเขาไปยังหน้าที่แสดงสินค้าคอลเลคชั่นล่าสุดนั่นเอง และข้อสองที่เราจะบอกคุณคืออย่าลืมที่จะใส่รายละเอียดช่องทางการติดต่อให้มองเห็นได้โดยง่าย เพราะแค่เพียงคลิกเดียวคุณก็สามารถเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณได้ในที่สุด เราเชื่อว่าคุณก็ไม่อยากพลาดโอกาสนั้นหรอก ใช่ไหมล่ะ?

5. ใช้กลยุทธ์ SEO และ PPC

ทั้ง Search Engine Optimization (SEO) และ Pay-per-click (PPC) ต่างก็มีประโยชน์ในการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณทั้งสิ้น และหากคุณต้องการเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำและให้ความใส่ใจก็คงหนีไม่พ้นการทำ SEO และ PPC

การทำ SEO เป็นวิธีที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาเจอเป็นอันดับต้นๆในหน้า search engines ต่างๆ เช่น Google และ Bing โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแต่อย่างใด หากแต่ต้องใช้เวลาสักนิดกว่าคุณจะเห็นผลของมัน ส่วน PPC นั้นตรงกันข้ามกับ SEO เลยล่ะ เพราะ PPC คือรูปแบบหนึ่งของการโฆษณาแบบเสียเงินที่จะทำให้ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพิ่มมากขึ้น แต่ข้อดีของมันก็คือสะดวก และใช้เวลาไม่ในการเห็นผล แต่ข้อเสียก็อย่างที่บอกไปคือมันไม่ฟรี! ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่คุณจะสามารถทำเองได้ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเงินและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่เราอยากจะแนะนำคุณก็คือ คุณอาจจะต้องจ้างผู้ที่ชำนาญด้าน digital marketing เข้ามาช่วยคุณดูแลในสองสิ่งนี้

เมื่อคุณตัดสินใจจะใช้แคมเปญ SEO แล้วคุณจะต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในหน้าแรกของ Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณผ่าน search engines และเมื่อคุณตัดสินใจใช้แคมเปญ PPC แล้ว ถ้าหากว่าเอเจนซี่ที่ดูแลแคมเปญให้คุณ professionl มากพอ เขาจะตรวจสอบให้แน่ใจว่างบประมาณของคุณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและแคมเปญของคุณก็เพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากพอและสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้จริง (ROI)

Recommended Posts